ใช้โรลออนและผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกาย เสี่ยงเป็นมะเร็งเต้านมหรือไม่?

โรคมะเร็งจัดได้ว่าเป็นกลุ่มโรคที่ยังหาที่มาและสาเหตุที่แน่ชัดเพียงสาเหตุใดสาเหตุหนึ่งได้ ปัจจัยในการก่อโรคมะเร็งในแต่ละบุคคลนั้นจะแตกต่างกันออกไป และในปัจจุบันก็พบว่ามีปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคมะเร็งเพิ่มมากขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม การมีปัจจัยเสี่ยงไม่ได้จำเป็นต้องเป็นมะเร็ง ในขณะเดียวกันผู้ไม่มีปัจจัยเสี่ยงก็สามารถเกิดมะเร็งได้เช่นเดียวกัน ปัจจุบันในสื่อโซเชียลต่างๆ ก็ได้มีการแชร์ข้อความเกี่ยวกับโรคมะเร็งมากมาย ทั้งปัจจัยที่เชื่อว่าก่อให้เกิดโรคมะเร็ง รวมถึงภูมิปัญญาต่างๆ ที่อ้างว่าช่วยป้องกันและรักษามะเร็งได้ และ Fact Crescendo พบอีกหนึ่งข้อกล่าวอ้างเกี่ยวกับโรคมะเร็งที่อาจสร้างความเข้าใจผิดได้ ข้อกล่าวอ้างในโซเชียลมีเดีย เพจเฟซบุ๊กเพจหนึ่งได้โพสต์รูปภาพโรลออนระงับกลิ่นกายยี่ห้อต่างๆ พร้อมระบุในคำบรรยายภาพว่า “โรลออน ยี่ห้อไหน บอกว่ามีสาร อะลูมิเนียมคลอไฮเดรท บ้าง? #เคยมีข่าวว่าสารอะลูมิเนียมคลอไฮเดรท ที่เป็นส่วนประกอบหลักอาจจะทำให้เกิดมะเร็งเต้านม” Source Post | Archive โดยโพสต์ดังกล่าวมีการแชร์ไปกว่า 8,700 ครั้ง และกดถูกใจไปกว่า 6,300 ครั้ง นอกจากโพสต์ดังกล่าวแล้ว เรายังพบอีกโพสต์หนึ่งบนเฟซบุ๊กที่มีข้อกล่าวอ้างคล้ายคลึงกัน Source Post | Archive โดยเพจข้างต้นได้โพสต์ข้อความเกี่ยวกับการใช้โรลออนและสเปรย์ระงับกลิ่นกาย โดยพาดหัวว่า “อันตราย! จากสารเคมีในโรลออน/สเปรย์ระงับกลิ่น” และกล่าวอ้างถึงอันตรายของสารเคมีที่อยู่ในผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกายว่า “อะลูมิเนียมคลอไฮเดรท (Aluminum chlorohydrate) ทำหน้าที่อุดรูขุมขนป้องกันไม่ให้เหงื่อไหลออกมาจากผิวหนัง เมื่อเหงื่อไม่สามารถออกทางผิวหนังบริเวณรักแร้ได้ ก็จะเกิดการจับตัวกับเกลืออะลูมิเนียมและเชื้อจุลินทรีย์ที่แทรกตัวอยู่บริเวณผิวหนังใต้รักแร้ จนอุดตันรูขุมขน และเกิดสารตกค้างสะสมบริเวณรักแร้ เกิดการอักเสบ […]

Continue Reading

กระทรวงสาธารณสุขชี้แจง งานวิจัยว่าเข็มกระตุ้นเพิ่มความเสี่ยงติดโควิด ยังขาดความน่าเชื่อถือและใช้ในไทยไม่ได้

จากที่เพจ Center for Medical Genomics ได้แชร์งานวิจัยของ Dr. Nabin K Shrestha และทีมวิจัยแผนกโรคติดเชื้อจากคลีฟแลนด์คลินิก ที่แสดงผลวิจัยว่า ความเสี่ยงของการติดเชื้อโควิด-19 กลับมีการแปรผันตรงตามจำนวนครั้งหรือโดสของการฉีดวัคซีน (mRNA) กล่าวคือ หากได้รับวัคซีนเอ็มอาร์เอ็นเอจำนวนมากก่อนหน้านี้ ความเสี่ยงในการติดเชื้อโควิด-19 ก็จะยิ่งสูงขึ้น ผู้ที่ได้รับวัคซีนตั้งแต่ 3 โดสขึ้นไปจะมี “ความเสี่ยง” ในการติดเชื้อโควิด-19 เพิ่มขึ้น 6 เท่าเทียบกับผู้ที่ไม่ได้รับวัคซีน โดยโพสต์ดังกล่าวก็ได้รับการแชร์ต่ออย่างกว้างขวาง รวมถึงมีการเผยแพร่ในเว็บไซต์ต่างๆ อีกด้วย Source | Archive Fact Crescendo ได้ตรวจสอบบทความดังกล่าวและพบว่างานวิจัยที่มีการอ้างอิงในบทความนั้นเป็นงานวิจัยที่ยังไม่ได้รับตีพิมพ์และยังไม่ผ่านการตรวจสอบ และในงานวิจัยดังกล่าวยังระบุไว้ว่างานวิจัยชิ้นดังกล่าวเป็นผลการวิจัยที่ทำขึ้นใหม่ และยังไม่ได้มีการประเมินอย่างเป็นทางการ จึงไม่ควรนำมาใช้เป็นแนวทางในการรักษา แถลงการณ์จากกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงสาธารณสุข ได้ออกมาชี้แจงเกี่ยวกับบทความข้างต้นว่า ข้อมูลวิจัยจากสหรัฐฯ เรื่องรับวัคซีน mRNA หลายครั้ง เพิ่มความเสี่ยงติดโควิด-19 ยังขาดความน่าเชื่อถือ ยังไม่ถูกยอมรับให้เผยแพร่ ขาดการวิเคราะห์และสรุปข้อมูลที่เกี่ยวข้องด้านระบาดวิทยา พฤติกรรมเสี่ยงและการป้องกันโรคที่มีผลต่อการติดเชื้อ ที่สำคัญไม่สามารถนำมาใช้กับประเทศไทยได้ เนื่องจากสถานการณ์และมาตรการต่างกัน ย้ำฉีดวัคซีนอย่างน้อย 4 […]

Continue Reading

เฝ้าระวังโควิดสายพันธุ์ย่อยใหม่ แพทย์ชี้มีแนวโน้มเข้าไทยเร็วๆ นี้

แม้จะดูเหมือนว่าทั่วโลกต่างเริ่มคลายความกังวลเกี่ยวกับการระบาดของโควิด-19 แล้ว แต่ก็มีรายงานถึงการระบาดที่เพิ่มสูงขึ้นในประเทศจีนและประเทศอื่นๆ ทั่วโลก จำนวนตัวเลขผู้ติดเชื้อที่สูงขึ้นเป็นอย่างมากถือเป็นภัยครั้งใหญ่ในช่วงคริสต์มาสที่ผ่านมาและในช่วงเทศกาลปีใหม่ที่กำลังจะมาถึง องค์การอนามัยโลก (WHO) แสดงความกังวลเนื่องมาจากโรงพยาบาลในกรุงปักกิ่งและเมืองอื่นๆ เต็ม จากการระบาดของโควิด-19 ระลอกล่าสุดในจีน วิดีโอที่น่าสลดใจของสถานการณ์ที่เลวร้ายในประเทศจีนกำลังเผยแพร่บนโซเชียลมีเดีย เมื่อไวรัสมีวิวัฒนาการไปตามเวลาและมีความแตกต่างจากไวรัสตัวดั้งเดิมอย่างมาก จะเรียกไวรัสที่วิวัฒนาการใหม่ว่าเป็น ‘สายพันธุ์’ ใหม่ สำหรับไวรัส SARS-CoV-2 ซึ่งเป็นไวรัสตัวดั้งเดิมของ COVID-19 ก็มีการเปลี่ยนแปลงและได้มีการสันนิษฐานว่าเป็นรูปแบบของสายพันธุ์ใหม่และสายพันธุ์ย่อย ปัจจุบัน สายพันธุ์ย่อยของ Omicron มากกว่า 300 สายพันธุ์กระจายอยู่ทั่วโลก และเกือบ 75% เป็นสายพันธุ์ย่อย BA.5 ของโควิดสายพันธุ์โอมิครอน มาทำความเข้าใจและดูข้อควรรู้เกี่ยวกับสายพันธุ์ย่อยใหม่ที่กระตุ้นให้เกิดการติดเชื้อโควิด-19 เพิ่มขึ้น สายพันธุ์ย่อย BF.7 สายพันธุ์ล่าสุดที่ทำให้จำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในประเทศจีนและประเทศอื่นๆ เพิ่มขึ้นนั้นเรียกว่า BF.7 เป็นสายพันธุ์ย่อยของโอมิครอนสายพันธุ์ BA.5 ซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่สามารถแพร่เชื้อได้สูง โดยมีความสามารถในการเลี่ยงภูมิคุ้มกันของร่างกายได้สูงกว่า แม้จะได้รับการฉีดวัคซีนแล้วก็ตาม อาการของตัวแปรย่อย BF.7 ใหม่นั้นคล้ายกับไข้หวัดทั่วไปและรวมถึงไข้ ไอ เจ็บคอ น้ำมูกไหล ปวดตามตัว ปวดท้อง เป็นต้น โดยผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้รักษาสุขอนามัยที่เหมาะสม […]

Continue Reading

ทำท่าก้มหัวไม่ได้ช่วยเช็กความเสี่ยงโรคเส้นเลือดสมองตีบ

จากที่มีการแชร์ข้อความพร้อมวิดีโอในไลน์ และโซเชียลต่างๆ โดยอ้างว่าการทำท่าก้มหัวตามคลิปวิดีโอดังกล่าวจะสามารถเช็กความเสี่ยงในการเป็นโรคเส้นเลือดในสมองตีบได้ โดยคลิปลักษณะดังกล่าวถูกแชร์อย่างกว้างขวาง  Source: Line | Archive Source | Archive โดยคลิปลักษณะดังกล่าวอ้างว่าการเป็นตรวจเช็กอาการหลอดเลือดตีบที่สมอง ซึ่งไม่สามารถตรวจเจอได้ในแพทย์แผนปัจจุบัน และอธิบายในคลิปว่า หากก้มหัวไปแล้วมีอาการเวียนหัว หูอื้อ แน่นจมูก หรือปวดเบ้าตาแปลว่าอาจมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคหลอดเลือดในสมองตีบ Fact Crescendo พบว่าข้อมูลดังกล่าวไม่เป็นความจริง และอาการเวียนหัว หูอื้อ แน่นจมูก หรือปวดเบ้าตาที่อาจจะเกิดเมื่อทำท่าที่อ้างในคลิปนั้นสามารถเกิดขึ้นได้ตามปกติเมื่อคนเราก้มหัวเป็นระยะเวลาหนึ่ง ซึ่งระยะเวลาที่อาจเกิดอาการจะแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ตรวจสอบข้อเท็จจริง เราได้ทำการตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับความเชื่อมโยงของการก้มหัวและอาการเส้นเลือดในสมองตีบ และพบแหล่งข่าวหลายแห่งที่ยืนยันว่าคลิปดังกล่าวเป็นข้อมูลเท็จ โดยทางสำนักข่าวไทยได้เข้าไปสัมภาษณ์นายแพทย์ธน ธีระวรวงศ์ แพทย์ผู้ชำนาญการพิเศษด้านประสาทวิทยา สถาบันประสาทวิทยา กรมการแพทย์ ซึ่งได้ยืนยันท่าก้มหัวในคลิปนั้นไม่สามารถใช้เช็กความเสี่ยงในการเป็นหลอดเลือดตีบในสมองได้ และอาการที่อ้างถึงในคลิปว่าอาจเป็นสัญญาณของโรคได้ จริงๆ แล้วเป็นอาการที่สามารถเกิดขึ้นได้ตามปกติเมื่อเราก้มหัว และท่าก้มหัวในคลิปนั้นไม่สามารถใช้เช็กอาการใดๆ เกี่ยวกับสมองได้ โดยหากต้องการเช็กว่ามีความเสี่ยงในการเป็นโรคทางสมองหรือไม่ ก็ทำได้โดยการเข้ามาตรวจร่างกายและระบบประสาท ซึ่งสามารถคัดกรองโรคทางสมองได้ค่อนข้างมากแล้ว และหากต้องการตรวจแบบเฉพาะ ก็สามารถตรวจโดยการเอกซเรย์สมองเพิ่มเติม ซึ่งสามารถทำได้ในโรงพยาบาลทั่วไป นอกจากนี้ นายแพทย์ธนยังเพิ่มเติมเกี่ยวกับอาการโรคหลอดเลือดทางสมองที่ควรสังเกตว่า หากมีอาการ พูดไม่ออกหรือพูดไม่ชัดทันทีทันใด แขนขาอ่อนแรงครึ่งซีก หรือสูญเสียการทางตัวกะทันหัน ควรไปพบแพทย์ให้เร็วที่สุด เพื่อรับการรักษาอย่างทันท่วงที สรุป […]

Continue Reading

ภาพไวรัลบนโซเชียลเกี่ยวกับอันตรายของหูฟังบลูทูธยังไม่มีหลักฐานรองรับเพียงพอ

จากที่มีรูปภาพระบุถึงอันตรายของการใช้หูฟังแบบบลูทูธแชร์กันอย่างแพร่หลายบนโซเชียล โดยในรูปภาพดังกล่าวได้ใช้รูปภาพหูฟังบลูทูธและรูปภาพสมองของมนุษย์ ซึ่งอาจทำให้ผู้อ่านมองว่าการใช้หูฟังบลูทูธนั้นส่งผลต่อสมองได้ Facebook Post | Archive ข้อความในภาพระบุว่า “หูฟังบลูทูธใช้คลื่นวิทยุเพื่อเชื่อมต่อกับผู้ใช้ โดยในกรณีของ Airpods หูฟังทั้งสองข้างเชื่อมต่อกันแบบไร้สายโดยมีสมองของผู้ใช้คั่นตรงกลาง ทำให้สมองสัมผัสกับคลื่น EMF ที่ก่อให้เกิดอันตรายได้ การศึกษาในอังกฤษยืนยันว่าเทคโนโลยีสมัยใหม่มีส่วนทำให้อัตราโรคมะเร็งเพิ่มขึ้น 40% ตั้งแต่ปี 1998 เป็นต้นมา เมื่อใช้หูฟัง ควรเลือกใช้หูฟังแบบสายแทนการใช้หูฟังไร้สาย” ซึ่งโพสต์ดังกล่าวมีการแชร์ออกไปกว่า 200 ครั้ง Facebook | Archive อีกหนึ่งโพสต์บนเฟซบุ๊กที่พูดถึงอันตรายของหูฟังแบบบลูทูธที่ได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก มีหลายฝ่ายที่แสดงความกังวลว่าคลื่น EMF อาจส่งผลต่อสมองได้ โดยคลื่น EMF หรือ Electromagnetic fields เป็นสนามแม่เหล็กไฟฟ้าที่ปล่อยออกมาจากเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ ซึ่งไม่ใช่เฉพาะอุปกรณ์บลูทูธ แต่ยังรวมถึงไมโครเวฟ โทรศัพท์มือถือ หรือแม้กระทั่งคอมพิวเตอร์อีกด้วย สรุปง่ายๆ ได้ว่า มนุษย์เราใช้ชีวิตอยู่กับคลื่น EMF มาตั้งแต่จะมีหูฟังแบบบลูทูธแล้ว แต่คลื่นที่ว่านี้ปลอดภัยต่อมนุษย์จริงๆ หรือไม่? ข้อกล่าวอ้าง: หูฟังบลูทูธปล่อยคลื่น EMF ที่เพิ่มความเสี่ยงในการเป็นมะเร็ง ข้อเท็จจริง: ผลการศึกษาทางวิทยาศาสตร์หลายชิ้นได้ยืนยันว่าระดับคลื่น […]

Continue Reading

ข่าวเดลต้าสายพันธุ์ใหม่ตรวจไม่พบเชื้อ  ไม่เป็นความจริง

จากที่มีข้อความแชร์อย่างแพร่หลายในโซเชียล โดยเฉพาะการแชร์ผ่านแพลตฟอร์มไลน์ เกี่ยวกับอันตรายของเดลต้าสายพันธุ์ใหม่ ซึ่งไม่สามารถตรวจพบเชื้อได้ โดยภายในข้อความดังกล่าวได้ระบุว่า “อ่านด่วน งานเข้าแล้ว ประเทศไทย ทุกคนอ่าน คำเตือนฉุกเฉินสวมแมสก์ 2 ชั้น เพราะว่า เดลต้าสายพันธุ์ใหม่ มีความแตกต่างของการเสียชีวิต โดยตรวจไม่พบเชื้อ มาด้วยอาการดังนี้ ไม่ไอ ไม่มีไข้ แต่ส่วนใหญ่ปวดข้อ ปวดหัว ปวดคอ ปวดหลังบริเวณเหนือเอวขึ้นมา ปอดบวม กล้ามเนื้ออ่อนแรง เบื่ออาหาร มีความรุนแรงเพิ่มขึ้น และมีอัตราเสียชีวิตสูงมาก การดำเนินโรคจนเข้าสู่อาการรุนแรงใช้ระยะเวลาสั้นๆ บางครั้งไม่มีอาการนำใดๆ สิ่งที่ต้องระวัง เชื้อจะไม่พักตัวที่บริเวณโพรงจมูก มันจะเข้าสู่ปอดโดยตรง ระยะฟักตัวสั้นลง ผู้เขียนพบบางครั้งผู้ป่วยไม่มีอาการไข้หรือปวดเลย แต่ภาพถ่ายรังสีมีปอดบวม ผล swab จมูก ให้ผลลบบ่อยครั้ง แม้ในโพรงจมูกก็ให้ผลลบปลอมเป็นส่วนใหญ่ หมายความว่า เชื้อนี้แพร่กระจายโดยตรงไปที่ปอด เกิดอาการปอดบวมแบบฉับพลัน เป็นคำตอบว่า ทำไมจึงเกิดอาการและเสียชีวิตในเวลาอันสั้น โปรดระมัดระวังให้มากขึ้น หลีกเลี่ยงสถานที่แออัด โดยเฉพาะห้องแอร์ เว้นระยะอย่างน้อย 1.5 เมตร อยู่ในที่อาการถ่ายเทได้ดี สวมแมสก์ 2 […]

Continue Reading

เมล็ดฟักทองไม่ได้ช่วยขับพยาธิหรือปรสิต

จากคลิปวิดีโอบนแพลตฟอร์มติ๊กต็อกที่มีการแชร์ข้อมูลว่า การต้มเมล็ดฟักทองผสมกับเกลือและกระเทียม จะช่วยขับพยาธิที่ตกค้างออกจากร่างกายได้ โดยวิดีโอดังกล่าวมีผู้ชมไปแล้วถึง 10 ล้านครั้ง มีการแชร์กว่า 14,000 ครั้ง และได้รับการกดถูกใจกว่าสี่แสนครั้ง Source | Archive ทางทีมงาน Fact Crescendo จึงได้ทำการตรวจสอบข้อเท็จจริงดังกล่าว โดยทางทีมงานไม่พบความเกี่ยวข้องในการรักษาโรคหรือกำจัดพยาธิโดยการใช้เมล็ดฟักทอง เกลือ และกระเทียมร่วมกัน และพบว่ามีบทความจากสถาบันและแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่ออกมายืนยันแล้วว่าเป็นข้อมูลเท็จ และเมล็ดฟักทองไม่สามารถใช้เพื่อกำจัดพยาธิได้ (อ่านข้อมูลยืนยันเพิ่มเติมจากอย. ได้ที่นี่) (ที่มา: สำนักคณะกรรมการอาหารและยา) ข้อกล่าวอ้าง คลิปวิดีโอหนึ่งบนติ๊กต็อกกล่าวว่าเมื่อต้มเมล็ดฟักทองผสมกับเกลือและกระเทียม จะมีฤทธิ์ช่วยขับพยาธิที่ตกค้างออกจากร่างกายได้ ตรวจสอบข้อเท็จจริง ทีมงานได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงโดยการหาแหล่งอ้างอิงของข้อมูลดังกล่าว พบว่ามีเว็บไซต์ต่างประเทศหลายแห่งที่โพสต์ข้อมูลที่คล้ายคลึงกันนี้ โดยอ้างว่าสารในเมล็ดฟักทองจะช่วยกำจัดพยาธิและเชื้อโรคต่างๆ ออกจากร่างกาย อย่างไรก็ตาม ทางทีมงานยังไม่พบงานวิจัยหรือการศึกษาใดๆ ที่ยืนยันได้ว่าการกินเมล็ดฟักทองจะช่วยขับพยาธิได้จริง ตัวอย่างโพสต์จากเฟซบุ๊กที่กล่าวอ้างถึงสรรพคุณของเมล็ดฟักทอง แต่ทางเฟซบุ๊กได้ขึ้นข้อความเตือนในโพสต์ดังกล่าวแล้วว่าเป็นข้อมูลเท็จ Source | Archive นอกจากนี้ USAToday ก็ได้เผยแพร่บทความชี้แจงเช่นกันว่าเมล็ดฟักทองไม่สามารถขจัดพยาธิหรือปรสิตออกจากร่างกายได้ โดย Dr. Amita Gupta แพทย์เฉพาะทางด้านโรคติดเชื้อได้อธิบายว่า “เมล็ดฟักทองมีสารประกอบที่ชื่อว่า ‘คิวเคอร์บิติน’ และ ‘คิวเคอร์บิตาซิน’ […]

Continue Reading

 รัฐบาลยืนยัน ไม่มีการงดจัดเทศกาลปีใหม่เนื่องจากการระบาดของโควิดสายพันธุ์ใหม่

จากช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาได้มีการแชร์ข้อความกันอย่างแพร่หลายในแพลตฟอร์มต่างๆ โดยเฉพาะในไลน์และเฟซบุ๊ก มีเนื้อความว่า  “รัฐบาลเตรียมจ่อประกาศงดเทศกาลปีใหม่ เนื่องจากการแพร่ระบาดของโควิดสายพันธุ์ใหม่ “เดลตาครอน XBC” ซึ่งแพร่ระบาดได้ง่ายและรวดเร็ว และมีผลอันตรายกว่า 2 สายพันธุ์ที่ผ่านมาถึง 3 เท่า ระมัดระวังกันด้วยนะครับ ตอนนี้ประเทศเพื่อนบ้านที่ติดกับไทยติดแล้วเป็นจำนวนมากครับ” (ที่มา: Line | Archive Link) ทางทีมงาน Fact Crescendo ได้ทำการตรวจสอบข้อเท็จจริงของข้อมูลดังกล่าวและได้พบว่าข้อความดังกล่าวเป็นข้อมูลเท็จ และรัฐบาลไม่ได้งดจัดเทศกาลปีใหม่แต่อย่างใด ข้อกล่าวอ้าง: รัฐบาลเตรียมประกาศงดจัดปีใหม่ เนื่องจากกการระบาดของโควิดสายพันธุ์ใหม่ ตรวจสอบข้อเท็จจริง กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ได้ออกแถลงการณ์ในเพจเฟซบุ๊กขององค์กร แจ้งว่าข้อความดังกล่าวเป็นข่าวปลอม อย่าแชร์ต่อ โดยได้ระบุเพิ่มเติมว่า “ขณะนี้กระทรวงสาธารณสุขเฝ้าระวังทุกสายพันธุ์ และยังไม่ได้เสนอให้งดจัดเทศกาลปีใหม่” ในส่วนของโควิดสายพันธุ์ใหม่ที่กล่าวถึง หรือสายพันธุ์ XBC กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ได้ออกมาชี้แจงเมื่อวันที่ 30 พย. ว่า ผู้ป่วยที่ติดเชื้อดังกล่าวรายแรกของไทยได้หายเป็นปกติแล้ว และไม่มีอาการรุนแรงใดๆ (อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่) เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2565 กระทรวงสาธารณสุขได้ประกาศให้ยกเลิกโควิด-19 จากการเป็นโรคติดต่ออันตรายและกำหนดให้เป็นโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวังอย่างเป็นทางการ สรุป ข่าวรัฐบาลงดจัดงานฉลองปีใหม่เนื่องจากโควิดสายพันธุ์ใหม่นั้นไม่เป็นความจริง […]

Continue Reading

 กินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปดิบไม่ได้ก่อให้เกิดภาวะช็อก

ในสัปดาห์ที่ผ่านมาได้มีการแชร์รูปภาพและข้อความเตือนถึงอันตรายของการกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปแบบดิบในแพลตฟอร์มต่างๆ โดยมีกระแสพูดถึงและการแชร์ต่ออย่างกว้างขวาง เมื่อทาง Fact Crescendo ทำการตรวจสอบเนื้อหาในรูปภาพดังกล่าวก็ได้พบว่าเป็นพาดหัวที่ชวนให้เข้าใจผิด คำกล่าวอ้าง เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายนที่ผ่านมา มีผู้ใช้ทวิตเตอร์ได้แชร์รูปภาพพร้อมข้อความสื่อถึงอันตรายของกินการบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปดิบบนแพลตฟอร์ม โดยข้อความระบุว่า “เตือน! อย่ากินดิบ ยิ่งใส่ผงปรุงแล้วเขย่า ยิ่งแย่ สสส. เตือนบะหมี่จะพองในท้องจนเกิดภาวะช็อก โซเดียมเข้าร่างกายเต็มๆ สูงเกินปริมาณรับไหว”  Source นอกจากนี้ยังมีการแชร์รูปภาพเดียวกันในเพจเฟซบุ๊กเพจหนึ่ง ซึ่งมีการแชร์ไปแล้วกว่า 2,000 ครั้ง รวมถึงมีผู้ใช้เข้าไปแสดงความคิดเห็นมากมาย Source | Archive โดยรูปภาพจากโพสต์ดังกล่าวระบุว่า สสส. หรือสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพได้ออกมาเตือนว่าการรับประทานบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปแบบดิบนั้นจะทำให้บะหมี่พองในท้อง และก่อให้เกิดภาวะช็อกได้ ตรวจสอบข้อเท็จจริง เมื่อทางทีมงาน FactCrescendo ได้ทำการตรวจสอบข้อเท็จจริงก็ได้พบว่า สสส. ไม่ได้ออกคำเตือนหรือข้อห้ามดังกล่าวแต่อย่างใด ทางหน่วยงานเพียงแค่จัดกิจกรรมส่งเสริมให้ประชาชนลดการกินเค็ม เนื่องจากอัตราการบริโภคโซเดียมต่อวันของคนไทยอยู่ในปริมาณที่สูงเกินปริมาณองค์การอนามัยโลกที่แนะนำต่อวัน โดย สสส. ได้ชี้แจงว่า “ที่ผ่านมาทาง สสส. ได้ร่วมกับเครือข่ายลดการบริโภคเค็ม ส่งเสริมประชาชนลดการบริโภคโซเดียมเพื่อลดเสี่ยงโรค NCDs โดยปี 2563 คนไทยมีอัตราการบริโภคโซเดียมเฉลี่ย 3,636 มก./วัน ซึ่งเกินมาตรฐานที่องค์การอนามัยโลก […]

Continue Reading