ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา บนโซเชียลมีเดียได้มีการส่งต่อข้อความเตือนภัยเกี่ยวกับความปลอดภัยของทุเรียนเวียดนาม โดยเฉพาะทุเรียนที่ถูกแกะเปลือกพร้อมบรรจุขายง โดยระบุว่าห้ามซื้อทุเรียนแบบแกะเปลือกจากเวียดนาม เพราะพบสารก่อมะเร็ง สร้างความกังวลให้แก่ผู้ใช้โซเชียลจำนวนมาก
โพสต์บนโซเชียลมีเดีย
มีผู้ใช้โซเชียลมีเดียได้โพสต์ข้อความว่า “ห้ามซื้อทุเรียนแกะเปลือกที่นำเข้าจากเวียดนาม เพราะถูกแบนจากจีน หลังตรวจพบสารก่อมะเร็งชนิดร้ายแรง” โดยโพสต์ข้อความดังกล่าวมีการแชร์กว่าสองหมื่นครั้ง และแพร่กระจายอย่างเป็นวงกว้าง
ตรวจสอบข้อเท็จจริง
ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสารปนเปื้อนและมาตรการของจีน
กระแสข่าวที่อ้างว่า “จีนแบนทุเรียนเวียดนามเพราะพบสารก่อมะเร็งชนิดร้ายแรง” นั้น สร้างความวิตกให้กับผู้บริโภคจำนวนมากในไทย โดยเฉพาะในช่วงที่ทุเรียนกลายเป็นผลไม้ยอดนิยมตามฤดูกาล แต่เมื่อตรวจสอบจากแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้ พบว่าความจริงมีความซับซ้อนและไม่ใช่การ “แบน” แบบเบ็ดเสร็จอย่างที่กล่าวอ้าง
ในความเป็นจริง จีนได้ยกระดับการตรวจสอบทุเรียนนำเข้าจากทุกประเทศตั้งแต่ต้นปี 2568 โดยกำหนดให้ทุกล็อตสินค้าต้องมีใบรับรองการตรวจวิเคราะห์สารตกค้าง ซึ่งรวมถึงสาร Basic Yellow 2 (BY2) สีย้อมอุตสาหกรรมที่ห้ามใช้ในอาหาร, แคดเมียม (Cadmium) ซึ่งเป็นโลหะหนักที่อาจสะสมในร่างกาย และ Auramine O หรือ Yellow O ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่ม “อาจก่อมะเร็งในมนุษย์” (Group 2B) ตามการจัดอันดับของ IARC อย่างไรก็ตาม สารเหล่านี้ไม่ได้รับการจัดว่าเป็น “สารก่อมะเร็งชนิดร้ายแรง” อย่างที่ข้อความในโลกออนไลน์อ้างถึง ทำให้ถ้อยคำดังกล่าวถือเป็นการกล่าวเกินจริงจากข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์
ในกรณีของเวียดนาม มีการระบุว่าทางการจีนพบการปนเปื้อนของแคดเมียมในทุเรียนบางล็อต จึงมีคำสั่งระงับการนำเข้าจากโรงงานบรรจุ 15 แห่ง และสวนผลไม้อีก 18 แห่งเมื่อเดือนมิถุนายน 2567 แม้มาตรการนี้ส่งผลให้ยอดส่งออกทุเรียนของเวียดนามไปจีนลดลงถึง 74% ในช่วงต้นปี 2568 แต่ก็ยังไม่ใช่ “การแบนทุเรียนเวียดนามทั้งหมด” เพราะการนำเข้ายังคงดำเนินต่อได้ในกรณีที่ผู้ผลิตผ่านเกณฑ์ความปลอดภัยที่กำหนด
ความเชื่อมโยงกับไทยและปัญหาการสวมสิทธิ์
ในขณะที่เวียดนามเผชิญปัญหาเรื่องมาตรฐานและสารปนเปื้อน ไทยเองก็พบความเชื่อมโยงกับเรื่องนี้เช่นกัน จากรายงานข่าวของหลายสำนักในประเทศ มีกรณีที่ทุเรียนเวียดนามถูกลักลอบนำเข้ามาแกะเปลือกในไทย และมีความพยายาม “สวมสิทธิ์” โดยติดฉลากว่าเป็นทุเรียนไทยเพื่อส่งออกกลับไปยังจีน ซึ่งเป็นการหลีกเลี่ยงข้อจำกัดด้านคุณภาพที่จีนมีต่อทุเรียนเวียดนาม
แม้ว่าการนำเข้าเนื้อทุเรียนเวียดนามจะสามารถทำได้ตามกฎหมายหากมีเอกสารรับรอง แต่ก็ยังไม่มีหลักฐานยืนยันแน่ชัดว่าทุเรียนเหล่านี้ถูกส่งออกไปต่างประเทศในฐานะผลผลิตไทยจริงหรือไม่ สิ่งที่น่ากังวลคือช่องโหว่ในกระบวนการตรวจสอบและการกำกับดูแล ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงของทุเรียนไทยในระยะยาว หากปล่อยให้เกิดการสวมสิทธิ์เช่นนี้อย่างต่อเนื่อง
แม้ว่าจะมีการตรวจพบสารปนเปื้อนในทุเรียนบางล็อตจากเวียดนาม แต่ก็ยังไม่มีหลักฐานยืนยันว่า “ทุเรียนทุกลูก” จากเวียดนามนั้นเป็นอันตรายต่อผู้บริโภค การตรวจสอบของจีนเน้นที่การควบคุมคุณภาพสินค้านำเข้าเป็นหลัก โดยทุเรียนที่ผ่านมาตรฐานยังสามารถเข้าสู่ตลาดจีนได้ตามปกติ ดังนั้น การเหมารวมว่าทุเรียนเวียดนามทั้งหมด “อันตราย” หรือ “ห้ามซื้อเด็ดขาด” จึงไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริง และอาจสร้างความเข้าใจผิดในหมู่ผู้บริโภคโดยไม่จำเป็น
รัฐบาลเวียดนามเองก็มีความเคลื่อนไหวอย่างจริงจัง โดยได้สั่งการให้กระทรวงเกษตรและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งแก้ไขปัญหานี้อย่างเป็นระบบ ทั้งการฟื้นฟูสภาพดินเพื่อลดการดูดซึมแคดเมียม การควบคุมการใช้ปุ๋ยผิดกฎหมาย และการตั้งจุดตรวจกักกันในสวนทุเรียน ก่อนจะส่งผลผลิตไปยังโรงงานบรรจุหรือประเทศปลายทาง
สรุป
ข้อความที่ระบุว่า “จีนแบนทุเรียนเวียดนามเพราะสารก่อมะเร็งร้ายแรง” นั้นจึงเป็น ข้อมูลที่มีทั้งส่วนจริงและส่วนเกินจริง จีนมีการระงับการนำเข้าจริงจากผู้ผลิตบางรายในเวียดนามหลังพบสารตกค้าง แต่ยังไม่มีคำสั่งห้ามนำเข้าทุเรียนทั้งหมด และสารที่ตรวจพบก็ไม่ได้รับการจัดว่า “ร้ายแรง” ตามหลักวิทยาศาสตร์แบบที่ข้อความไวรัลกล่าว
ที่มา:

Title:จริงหรือไม่: จีนแบนทุเรียนทั้งหมดจากเวียดนาม เนื่องจากพบสารก่อมะเร็ง
Fact Check By: Cielito WangResult: Insight