มิจฉาชีพในรูปแบบโทรศัพท์นั้นถือเป็นอีกรูปแบบที่เราพบเห็นกันได้บ่อยครั้ง และมาในหลากหลายกลโกงเพื่อพยายามให้เหยื่อหลงเชื่อมากที่สุด โดยล่าสุดเราพบข้อมูลเกี่ยวกับมิจฉาชีพทางโทรศัพท์อีกแบบที่มีการแชร์กันอย่างแพร่หลาย

ข้อกล่าวอ้างในโซเชียลมีเดีย

มีผู้ใช้เฟซบุ๊กหลายรายได้แชร์ข้อความเกี่ยวกับเบอร์โทรจากมิจฉาชีพ โดยระบุว่า

“ด่วนๆๆๆๆๆ คนสมัคร !!! พร้อมเพย์ !!! เจอปัญหานี้ แล้วค่ะ ธนาคารไม่รับผิดชอบ...สมัครพร้อมเพย์ แค่รู้เบอร์โทร.. ก็รู้ยอดเงินในธนาคารแล้วค่ะ... *** ห้ามรับสาย !!! *** อย่าโทรกลับ !!! @ ช่วยกันส่งต่อ-บอกต่อ ด้วย ! ผู้ที่รับสายจากเลขหมายต่อไปนี้ +37560260528 +37127913091 +37178565072 +56322553736 +37052529259 +255901130460 +14661064689 {เจอเบอร์นี้โทรหา} หรือเลขหมายใดก็ตามที่ขึ้นต้นด้วยหมายเลขต่อไปนี้ +375, +371, +381, มันจะดังเรียกเพียงครั้งเดียว ถ้าคุณโทรกลับไปยังเลขหมายข้างต้นมันจะคิดค่าโทรศัพท์คุณ 15-30 เหรียญสหรัฐ มันจะก็อปปี้หมายเลขโทรศัพท์ในโทรศัพท์ของคุณภายใน 30 วินาที ถ้าคุณมีรายละเอียดของบัญชีธนาคารและเครดิตการ์ดมันก็จะก็อปปี้ไปด้วย รหัส +375 จากเบลารุส อาฟกานิสถาน รหัส +371 จากลัตเวีย, รหัส +381 จากเซอร์เบีย รหัส +563 จากวาปาไรโซ รหัส +370 จากวินิรุส รหัส +255 จากแทนซาเนีย เลขหมายพวกนี้มาจาก อิสลาม มุสลิม หัวรุนแรง หรือ IS (ไอเอส).อย่าต่อโทรศัพท์กลับ ช่วยส่งต่อให้เพื่อน ๆ และคนในครอบครัวด้วย อันตรายมาก...”

Source Post | Archive

โดยข้อความดังกล่าวได้ถูกแชร์ต่อบนโซเชียลเป็นจำนวนมาก

ทางทีมงาน Fact Crescendo พบว่าข้อมูลดังกล่าวนั้นชวนให้เข้าใจผิด

ตรวจสอบข้อเท็จจริง

เมื่อทีมงานพยายามค้นหาข้อมูลในประเด็นดังกล่าวนี้ ก็พบว่าข้อความดังกล่าวเคยมีการแชร์อย่างกว้างขวางมาตั้งแต่ปี 2555 โดยทางกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ได้ยืนยันแล้วว่าข้อความดังกล่าวเป็นเรื่องหลอกลวง

โดย พ.ต.อ.ญาณพล ยั่งยืน รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ กล่าวยืนยันว่า กรณีที่มีการกระจายข่าวสารผ่านทางเครือข่ายสังคมออนไลน์ และข้อความสนทนาบนมือถือ เช่น แอปพลิเคชัน WhatsApp และ LINE โดยเตือนให้ระวังหมายเลขโทรเข้าที่นำหน้าด้วย +371 หรือ +375 หากโทรกลับจะทำให้ถูกลักลอบขโมยข้อมูลจากโทรศัพท์มือถือได้นั้น เบื้องต้นถือเป็นข้อความที่ไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด ขอให้ผู้ที่ได้รับข่าวสารไม่หลงเชื่อและอย่าส่งต่อให้บุคคลอื่น

Federal Communications Commission (FCC) ได้อธิบายถึงกรณีนี้ไว้ โดยเรียกมิจฉาชีพประเภทนี้ว่า “One Ring Phone Scam” โดยมิจฉาชีพประเภทนี้จะหลอกล่อให้เหยื่อโทรกลับ (อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่)

นอกจากนี้ ในส่วนที่กล่าวอ้างว่าหากโทรกลับไปที่เบอร์ดังกล่าว จะต้องเสียค่าโทรจำนวน 15-30 ดอลลาร์นั้น FCC ได้อธิบายไว้ว่าเมื่อโทรออกไปยังเบอร์ต่างประเทศ ผู้โทรจะต้องเสียค่าธรรมเนียมโทรทางไกลอยู่แล้ว ซึ่งอาจแตกต่างกันไปตามแต่ละพื้นที่ และนอกจากนี้ เหล่ามิจฉาชีพอาจพยายามให้คุณอยู่ในสายนานมากขึ้นเพื่อเรียกเก็บค่าบริการเพิ่มเติม โดยเงินที่ถูกเรียกเก็บอาจแสดงในบิลค่าโทรศัพท์ว่าเป็น “ค่าบริการพิเศษ” หรือ “ค่าโทรระหว่างประเทศ” เป็นต้น

ทาง FCC ได้แจ้งแนวทางปฏิบัติเมื่อพบเห็นเบอร์โทรจากต่างประเทศที่ไม่รู้จักไว้ดังนี้

  • อย่ารับสายหรือโทรกลับหมายเลขที่คุณไม่รู้จัก
  • ก่อนโทรหาหมายเลขที่ไม่คุ้นเคย ให้ตรวจสอบว่าเป็นรหัสต่างประเทศหรือไม่
  • หากคุณไม่ได้ต้องการโทรไปยังหมายเลขต่างประเทศ คุณสามารถขอให้ผู้ให้บริการเครือข่ายของคุณบล็อกการโทรจากต่างประเทศ (โดยที่ประเทศไทยสามารถดำเนินการได้โดยกดหมายเลข *138*1# แล้วกดโทรออก)
  • ระมัดระวังอยู่เสมอ แม้ว่าเบอร์ที่โทรเข้าจะเหมือนเบอร์โทรปกติก็ตาม

ข้อสรุป

ข้อความที่แพร่หลายบนโซเชียลเกี่ยวกับเบอร์มิจฉาชีพที่ขึ้นต้นด้วย +375, +371, +381 หากโทรกลับแล้วจะถูกขโมยข้อมูลนั้น ทางดีเอสไอยืนยันว่าไม่เป็นความจริง แต่ในส่วนค่าบริการที่เสียเมื่อโทรกลับ จะถูกเรียกเก็บเมื่อผู้ใช้โทรออกไปยังเบอร์ต่างประเทศอยู่แล้ว รวมถึงอาจถูกเรียกเก็บค่าบริการเพิ่มเติมจากเหล่ามิจฉาชีพด้วยก็เป็นได้ ดังนั้นเมื่อพบเห็นเบอร์โทรที่ไม่คุ้นเคยจากต่างประเทศ ควรค้นหาเบอร์โทรดังกล่าวก่อนทำการโทรกลับ เพื่อตรวจสอบว่าเชื่อถือได้หรือไม่ หรือเลือกบล็อกการโทรจากต่างประเทศตามวิธีที่ระบุไว้ข้างต้น

Avatar

Title:เบอร์โทรต้องห้ามจากต่างประเทศ รับสาย/โทรกลับแล้วโดยขโมยข้อมูลได้จริงหรือไม่

Fact Check By: Cielito Wang

Result: Misleading