ข้อความ “ผงชูรสเป็นอันดับหนึ่งในการก่อมะเร็ง” และ “8 บัญชีดำอาหารที่ก่อให้เกิดมะเร็ง” เป็นข้อมูลเท็จ

เมื่อไม่นานมานี้ มีการแชร์ข้อความไวรัลบนโซเชียลมีเดีย ระบุว่า “ผงชูรสเป็นสาเหตุอันดับหนึ่งในการก่อมะเร็ง” พร้อมแนบรายชื่อ “บัญชีดำอาหาร 8 อย่าง” ที่อ้างว่าหากบริโภคเป็นประจำจะทำให้เกิดโรคมะเร็ง นอกจากนี้ยังกล่าวอ้างว่าคนจีนป่วยเป็นมะเร็งจำนวนมากเพราะบริโภคอาหารเหล่านี้ เราตรวจสอบข้อกล่าวอ้างดังกล่าว และพบว่า ข้อความเหล่านี้เป็นข้อมูลบิดเบือน และไม่มีหลักฐานวิทยาศาสตร์รองรับ โพสต์บนโซเชียลมีเดีย เราได้รับเบาะแสผ่านช่องทาง LINE ตรวจสอบข้อเท็จจริงของเรา ว่ามีข้อความแพร่กระจายบนแพลตฟอร์ม LINE รวมถึงแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียอื่นๆ เช่น Facebook โดยกล่าวว่า:  “ผงชูรสเป็นอันดับหนึ่งในการก่อมะเร็ง! ตอนนี้คนจีนเป็นโรคมะเร็งสูง! บัญชีดำอาหารที่ก่อให้เกิดมะเร็ง Source | Archive พบข้อมูลน่าสงสัย? ส่งให้เราตรวจสอบข้อเท็จจริงได้ที่นี่ ตรวจสอบข้อเท็จจริง ข้อกล่าวอ้างที่ 1: ผงชูรส (MSG) เป็นอันดับหนึ่งในการก่อมะเร็ง ไม่มีหลักฐานวิทยาศาสตร์ที่ยืนยันว่าการบริโภคผงชูรส (MSG: Monosodium Glutamate) จะเพิ่มความเสี่ยงมะเร็งในมนุษย์ (ที่มา: Healthline, Cancer Fact Finder) ข้อกล่าวอ้างที่ 2: คนจีนเป็นโรคมะเร็งสูง เพราะบริโภคอาหารในบัญชีดำ ข้อมูลจากการศึกษาที่ตีพิมพ์ใน JAMA Network […]

Continue Reading

จริงหรือไม่: จีนแบนทุเรียนทั้งหมดจากเวียดนาม เนื่องจากพบสารก่อมะเร็ง

ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา บนโซเชียลมีเดียได้มีการส่งต่อข้อความเตือนภัยเกี่ยวกับความปลอดภัยของทุเรียนเวียดนาม โดยเฉพาะทุเรียนที่ถูกแกะเปลือกพร้อมบรรจุขายง โดยระบุว่าห้ามซื้อทุเรียนแบบแกะเปลือกจากเวียดนาม เพราะพบสารก่อมะเร็ง สร้างความกังวลให้แก่ผู้ใช้โซเชียลจำนวนมาก โพสต์บนโซเชียลมีเดีย มีผู้ใช้โซเชียลมีเดียได้โพสต์ข้อความว่า “ห้ามซื้อทุเรียนแกะเปลือกที่นำเข้าจากเวียดนาม เพราะถูกแบนจากจีน หลังตรวจพบสารก่อมะเร็งชนิดร้ายแรง” โดยโพสต์ข้อความดังกล่าวมีการแชร์กว่าสองหมื่นครั้ง และแพร่กระจายอย่างเป็นวงกว้าง ที่มา | ลิงก์ถาวร ตรวจสอบข้อเท็จจริง ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสารปนเปื้อนและมาตรการของจีน กระแสข่าวที่อ้างว่า “จีนแบนทุเรียนเวียดนามเพราะพบสารก่อมะเร็งชนิดร้ายแรง” นั้น สร้างความวิตกให้กับผู้บริโภคจำนวนมากในไทย โดยเฉพาะในช่วงที่ทุเรียนกลายเป็นผลไม้ยอดนิยมตามฤดูกาล แต่เมื่อตรวจสอบจากแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้ พบว่าความจริงมีความซับซ้อนและไม่ใช่การ “แบน” แบบเบ็ดเสร็จอย่างที่กล่าวอ้าง ในความเป็นจริง จีนได้ยกระดับการตรวจสอบทุเรียนนำเข้าจากทุกประเทศตั้งแต่ต้นปี 2568 โดยกำหนดให้ทุกล็อตสินค้าต้องมีใบรับรองการตรวจวิเคราะห์สารตกค้าง ซึ่งรวมถึงสาร Basic Yellow 2 (BY2) สีย้อมอุตสาหกรรมที่ห้ามใช้ในอาหาร, แคดเมียม (Cadmium) ซึ่งเป็นโลหะหนักที่อาจสะสมในร่างกาย และ Auramine O หรือ Yellow O ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่ม “อาจก่อมะเร็งในมนุษย์” (Group 2B) ตามการจัดอันดับของ IARC อย่างไรก็ตาม สารเหล่านี้ไม่ได้รับการจัดว่าเป็น “สารก่อมะเร็งชนิดร้ายแรง” […]

Continue Reading

ข้อความไวรัลว่าโควิด-19 เกิดจากแบคทีเรีย “เป็นข้อมูลเท็จ”

เมื่อเร็วๆ มีข้อความที่กำลังแพร่กระจายในโซเชียลมีเดียโดยที่อ้างว่าสิงคโปร์ค้นพบว่าโควิด-19 เกิดจากแบคทีเรียไม่ใช่ไวรัส ซึ่งยังอ้างว่าสาเหตุหลักของการเสียชีวิตจากโควิด-19 นั้นมาจากลิ่มเลือดอุดตัน เมื่อตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิดเพิ่มสูงขึ้นในช่วงเดือนที่ผ่าน ข้อความนี้ก็กลับมาแพร่กระจายอย่างกว้างขวางอีกครั้ง โพสต์บนโซเชียลมีเดีย มีข้อความหนึ่งแพร่กระจายบนโซเชียลมีเดียเกี่ยวกับ COVID-19 ที่อ้างว่า แพทย์ในสิงคโปร์ค้นพบว่าองค์การอนามัยโลก (WHO) ได้วางแผนสมคบคิดเพื่อหลอกลวงผู้คนเกี่ยวกับโรคนี้และแนวทางการรักษา ข้อความยังอ้างเพิ่มเติมว่า กระทรวงสาธารณสุขของสิงคโปร์ได้ค้นพบวิธีรักษาไวรัสแล้ว และยังอ้างอีกว่า ไวรัสโคโรนาไม่ใช่ไวรัส แต่เป็นแบคทีเรีย และสามารถรักษาโควิดได้ด้วยยาปฏิชีวนะ นอกจากนี้ยังกล่าวว่า สาเหตุหลักของการเสียชีวิตจากโควิดคือการเกิดลิ่มเลือด (thrombosis) หรือภาวะเลือดแข็งตัวในหลอดเลือด ข้อความยังระบุอีกว่า ไม่จำเป็นต้องใช้ห้อง ICU หรือเครื่องช่วยหายใจในการรักษาผู้ป่วยโควิด และกล่าวว่ากระทรวงสาธารณสุขของสิงคโปร์ได้เปลี่ยนแนวทางการรักษา โดยให้ผู้ป่วยโควิดรับประทานแอสไพริน ที่มา | ลิงก์ถาวร ตรวจสอบข้อเท็จจริง จากการตรวจสอบพบว่า ข้อความดังกล่าวเป็นข้อความเท็จที่มีการแพร่กระจายมาตั้งแต่ปี 2021 และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงรัฐบาลสิงคโปร์ก็ได้ออกมาชี้แจงในกรณีดังกล่าวแล้ว และ Fact Crescendo ได้ตรวจสอบข้อกล่าวอ้างนี้ในเวอร์ชั้นภาษาอังกฤษที่แพร่กระจายเมื่อปี 2021 ไว้ที่นี่ ข้อกล่าวอ้างที่ 1: สิงคโปร์ทำการชันสูตรศพผู้เสียชีวิตจากโควิด กระทรวงสาธารณสุขสิงคโปร์ได้ชี้แจงผ่านเพจ Facebook อย่างเป็นทางการว่า ประเทศไม่ได้ทำการชันสูตรศพผู้เสียชีวิตจากโควิดเลย และข้อมูลที่อยู่ในข้อความดังกล่าวไม่มีมูลความจริงทางวิทยาศาสตร์ โพสต์บน Facebook […]

Continue Reading

ข้อความว่า “อาจารย์หมอประสิทธิ์ออกประกาศให้ล็อกดาวน์ตัวเอง” เป็นข้อมูลเท็จ

ในช่วงเดือนพฤษภาคม 2568 ที่สถานการณ์โควิด-19 ในประเทศไทยเริ่มกลับมาน่ากังวล มีผู้ติดเชื้อเพิ่มสูงขึ้นอีกครั้งตามรายงานจากกระทรวงสาธารณสุขและสื่อมวลชน (ที่มา) ผู้คนจำนวนมากเริ่มกลับมาระมัดระวังและหาข้อมูลเกี่ยวกับวิธีป้องกันตัวเองจากไวรัส ท่ามกลางความวิตกนี้ ได้มีข้อความ “เตือนภัย” ที่อ้างว่ามีการออกประกาศให้ล็อกดาวน์ กลับมาแพร่กระจายอย่างรวดเร็วอีกครั้งในแอปพลิเคชัน LINE และแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียต่างๆ โพสต์บนโซเชียลมีเดีย เราได้รับเบาะแสผ่านทาง LINE ตรวจสอบข้อเท็จจริงของ Fact Crescendo Thailand เกี่ยวกับข้อความที่มีการส่งต่อกันอย่างกว้างขวางบนแพลตฟอร์ม LINE อ้างว่า “พยาบาลศิริราชส่งไลน์มา” และ “อาจารย์หมอประสิทธิ์ออกประกาศให้ล็อกดาวน์ครอบครัวตัวเอง” พบข้อความน่าสงสัย? ส่งมาให้เราตรวจสอบได้ที่ LINE ตรวจสอบข้อเท็จจริงของเรา โดยเมื่อตรวจสอบเพิ่มเติม เราพบว่าข้อความดังกล่าวมีการแชร์ต่ออย่างกว้างขวางบน Facebook เมื่อเร็วๆ นี้ด้วยเช่นกัน ที่มา | ลิงก์ถาวร ตรวจสอบข้อเท็จจริง ข้อความที่อ้างว่า “หมอประสิทธิ์ ศิริราช” เตือนให้ “ล็อกดาวน์ครอบครัวตัวเอง” จากการตรวจสอบ เราพบว่า ข้อความดังกล่าวเป็นข้อมูลเท็จที่มีการแพร่กระจายมาตั้งแต่ปี 2564 โดยโรงพยาบาลศิริราชได้ออกแถลงการณ์ชี้แจงไว้ ระบุว่า: “ตามที่มีการแชร์ข้อความผ่านโซเชียลมีเดีย เกี่ยวกับประเด็นเรื่อง หมอประสิทธิ์ คณบดีศิริราช […]

Continue Reading

จริงหรือไม่: ดื่มชาเขียวพร้อมกับนมวัวทำให้ดูดซึมแคลเซียมไม่ได้และทำลายสารต้านอนุมูลอิสระ?

ในยุคที่ผู้คนหันมาใส่ใจสุขภาพมากขึ้น การผสมผสานเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพอย่างชาเขียวก็กลายเป็นที่นิยมมากขึ้น แต่มีข้อถกเถียงในสื่อสังคมออนไลน์เกี่ยวกับผลกระทบต่อคุณค่าทางโภชนาการในการดื่มชาเขียวใส่นมวัว ว่าจะทำลายคุณประโยชน์ในชาเขียวและทำให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมไม่ได้ โพสต์บนโซเชียลมีเดีย ในสื่อออนไลน์มีการแชร์ข้อมูลว่าการดื่มชาเขียวพร้อมกับนมวัวจะทำให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมจากนมไม่ได้ และทำลายคุณค่าของสารต้านอนุมูลอิสระ (catechins) ในชาเขียว Source | Archive Source | Archive ตรวจสอบข้อเท็จจริง ผลการวิจัยเกี่ยวกับสารต้านอนุมูลอิสระ (Catechins) งานวิจัยพบว่า ชาเขียวมีสารกลุ่ม catechins ที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระสำคัญ ส่วนนมวัวมีโปรตีนหลักคือ เคซีน (casein) ที่อาจไปจับกับสาร polyphenols ในชาได้ โดยการจับตัวกันนี้สามารถเปลี่ยนคุณสมบัติของสารและโปรตีนได้ วารสารงานวิจัยของ EFSA ชี้ให้เห็นว่า catechins ในชาเขียวสามารถจับกับโปรตีนในนม (เคซีน) ซึ่งอาจทำให้สาร catechin ที่อยู่ในรูป “อิสระ” ลดลงได้ นอกจากนี้ งานวิจัยใน Food Research International (2020) ชี้ว่า เมื่อเติมนมลงในชาเขียว ปริมาณ catechins ที่เข้าสู่ระบบและความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระโดยรวมอาจลดลงบ้าง เมื่อมีการจับกับโปรตีน โดยระบุว่า การทำฏิกิริยาระหว่าง catechins กับโปรตีนในนมทำให้ปริมาณ catechins ที่พร้อมดูดซึมได้และการต้านอนุมูลอิสระของ “เครื่องดื่มชานม” ลดลง เมื่อจำลองการย่อยในกระเพาะและลำไส้ อย่างไรก็ตาม […]

Continue Reading

นำอาหารค้างคืนมาอุ่นซ้ำเพื่อรับประทาน อันตรายเทียบเท่าสารหนู จริงหรือไม่?

ความปลอดภัยของการเก็บอาหารไว้ข้ามคืนเป็นประเด็นที่หลายคนกังวล เมื่อเร็วๆ นี้ มีคำกล่าวอ้างว่าอาหารบางประเภทอาจเป็นอันตรายเทียบเท่ากับสารหนู หากเก็บทิ้งไว้ข้ามคืนและนำมารับประทานใหม่โพสต์บนโซเชียลมีเดีย มีข้อความแพร่กระจายบนแพลตฟอร์ม Facebook ระบุว่า มีอาหารบางประเภทที่เก็บไว้ข้ามคืนอาจมีอันตรายเทียบเท่าสารหนู ที่มา | ลิงก์ถาวร ที่มา | ลิงก์ถาวร ตรวจสอบข้อเท็จจริงเราได้ดำเนินการตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับความปลอดภัยของอาหารแต่ละชนิดตามที่มีการกล่าวอ้าง และวิธีการจัดเก็บที่ถูกต้อง:ผักลวก: ผักลวกสามารถเก็บข้ามคืนได้อย่างปลอดภัย หากจัดเก็บอย่างเหมาะสม การลวกผักเป็นกระบวนการที่ช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียและหยุดการทำงานของเอนไซม์ที่อาจส่งผลต่อคุณภาพและความปลอดภัยของอาหารได้ อย่างไรก็ตาม หลังจากลวกผักแล้ว ควรทำให้เย็นลงอย่างรวดเร็ว แล้วเก็บไว้ในตู้เย็นหรือช่องแช่แข็ง เพื่อป้องกันการเติบโตของแบคทีเรีย หากปล่อยทิ้งไว้ที่อุณหภูมิห้องเป็นเวลานาน อาจเสี่ยงต่อการปนเปื้อนจากแบคทีเรีย (ที่มา: University of Minnesota, Heritage Fine Foods)อาหารทะเลย่าง: อาหารทะเลย่าง ก็มีลักษณะเช่นเดียวกับอาหารที่เน่าเสียได้ทั่วไป คือ ควรเก็บไว้ในตู้เย็นภายใน 2 ชั่วโมงหลังปรุงสุก เพื่อลดความเสี่ยงในการเติบโตของแบคทีเรีย และหากจัดเก็บอย่างเหมาะสมก็สามารถรับประทานได้อย่างปลอดภัย แต่หากปล่อยทิ้งไว้ที่อุณหภูมิห้องเป็นเวลานาน อาจเสี่ยงต่อการปนเปื้อนจากแบคทีเรียได้ (ที่มา: UNL Food)อาหารทอด: อาหารทอดสามารถเก็บข้ามคืนได้อย่างปลอดภัย หากปล่อยให้เย็นลงจนถึงอุณหภูมิห้องภายใน 2 ชั่วโมง และนำเข้าตู้เย็นทันที อย่างไรก็ตาม หากปล่อยทิ้งไว้ที่อุณหภูมิห้องเป็นเวลานาน อาจเสี่ยงต่อการปนเปื้อนจากแบคทีเรีย […]

Continue Reading

โบท็อกซ์ช่วยรักษาอาการออฟฟิศซินโดรมได้จริงหรือไม่

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา การฉีดโบท็อกซ์เพื่อบรรเทาอาการออฟฟิศซินโดรมได้รับความสนใจอย่างมาก  โดยมีผู้ใช้ออนไลน์แชร์ประสบการณ์การรักษาด้วยวิธีนี้เป็นจำนวนมาก แม้ว่าการฉีดโบท็อกซ์จะเป็นที่รู้จักในด้านความงามมาอย่างยาวนาน แต่การนำมาประยุกต์ใช้เพื่อรักษาอาการปวดเมื่อยจากการทำงานนั้นเป็นเทรนด์ใหม่ที่กำลังได้รับความนิยม โดยเฉพาะในกลุ่มคนทำงานออฟฟิศที่ต้องเผชิญกับปัญหาปวดเมื่อยเรื้อรัง บทความนี้จะช่วยไขข้อสงสัยเกี่ยวกับการใช้โบท็อกซ์ในการรักษาอาการออฟฟิศซินโดรม พร้อมทั้งนำเสนอข้อมูลทางการแพทย์และความคิดเห็นจากผู้เชี่ยวชาญ เพื่อเป็นข้อมูลเพิ่มเติมประกอบการตัดสินใจให้แก่ผู้ที่สนใจในวิธีการรักษานี้ โพสต์บนโซเชียลมีเดีย เมื่อไม่นานมานี้ มีผู้ใช้โซเชียลมีเดียได้แชร์ข้อมูลเกี่ยวกับการใช้โบท็อกซ์เพื่อรักษาอาการออฟฟิศซินโดรม โดยมีทั้งการแนะนำ รวมถึงการเตือนถึงผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น ที่มา | ลิงก์ถาวร ที่มา | ลิงก์ถาวร ออฟฟิศซินโดรมคืออะไร? ออฟฟิศซินโดรม (Office Syndrome) เป็นกลุ่มของความผิดปกติทางระบบกล้ามเนื้อและกระดูกที่เกิดจากการทำงานในท่าทางเดิมเป็นเวลานาน มักพบในผู้ที่ทำงานนั่งโต๊ะหรือใช้คอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน ภาวะนี้ส่งผลให้เกิดอาการปวดเรื้อรัง อาการตึง และเกร็งของกล้ามเนื้อ โดยเฉพาะบริเวณคอ ไหล่ และหลัง สาเหตุหลักมาจากท่าทางที่ไม่เหมาะสม การเคลื่อนไหวซ้ำ ๆ และการจ้องจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยที่ทำให้ออฟฟิศซินโดรมเป็นปัญหาสุขภาพที่พบได้บ่อยในหมู่พนักงานออฟฟิศ โบท็อกซ์ช่วยบรรเทาออฟฟิศซินโดรมได้อย่างไร? โบท็อกซ์ หรือสารโบทูลินัมท็อกซิน เอ (Botulinum Toxin A) เป็นสารที่ออกฤทธิ์ต่อระบบประสาท โดยทำหน้าที่ยับยั้งสัญญาณประสาทที่กระตุ้นให้กล้ามเนื้อหดตัว ส่งผลให้กล้ามเนื้อเกิดการคลายตัวชั่วคราว เมื่อฉีดโบท็อกซ์ในบริเวณที่ได้รับผลกระทบจากออฟฟิศซินโดรม จะช่วยลดอาการตึงของกล้ามเนื้อ บรรเทาความตึงเครียด และช่วยลดอาการปวดได้ นอกจากนี้ โบท็อกซ์ยังช่วยป้องกันการหดเกร็งของกล้ามเนื้อมากเกินไป ทำให้กล้ามเนื้อที่ได้รับผลกระทบสามารถฟื้นตัวได้ ลดการอักเสบ […]

Continue Reading

อาจารย์เจ้าของรางวัลโนเบล แนะนำให้ให้การอดอาหารเพื่อรักษามะเร็ง จริงหรือ?

มีข้อกล่าวอ้างที่แพร่หลายในโลกออนไลน์ว่า นักวิทยาศาสตร์เจ้าของรางวัลโนเบล โยชิโนริ โอซูมิ (Yoshinori Ohsumi) ได้แนะนำให้ใช้การอดอาหารเป็นวิธีรักษามะเร็ง ซึ่งมักเชื่อมโยงกับงานวิจัยของเขาเกี่ยวกับกระบวนการ “ออโตฟาจี” (Autophagy) หรือการรีไซเคิลเซลล์ของร่างกาย ด้วยความนิยมที่เพิ่มขึ้นของการอดอาหารเพื่อสุขภาพ และปัญหามะเร็งที่ยังคงเป็นภัยคุกคามด้านสุขภาพระดับโลก ข้อกล่าวอ้างดังกล่าวจึงได้รับความสนใจอย่างมาก โพสต์บนโซเชียลมีเดีย มีผู้ใช้โซเชียลมีเดียหลายรายได้แชร์ข้อความที่ระบุว่า “งานวิจัยระดับโนเบลบอกว่าการอดอาหารช่วยทำลายเซลล์มะเร็งและเยียวยาโรคร้ายได้ มาอดอาหารกันเถอะ!” โดยโพสต์ดังกล่าวถูกแชร์ต่อกว่าสองหมื่นครั้งบน Facebook ที่มา | ลิงก์ถาวร ที่มา | ลิงก์ถาวร ตรวจสอบข้อเท็จจริง งานวิจัยของอาจารย์โยชิโนริ โอซูมิ อาจารย์โอซูมิได้รับรางวัลโนเบลสาขาสรีรวิทยาหรือการแพทย์ในปี 2016 จากการค้นพบกลไกของออโตฟาจี (Autophagy) ซึ่งเป็นกระบวนการตามธรรมชาติของร่างกายในการสลายและรีไซเคิลองค์ประกอบเซลล์ โดยทำการวิจัยโดยใช้ยีสต์ขนมปังเป็นแบบจำลอง ซึ่งพบว่า การจัดการความเครียดของเซลล์ เช่น ภาวะอดอาหาร สามารถกระตุ้นกระบวนการสลายเซลล์ที่เสียหายเพื่อใช้เป็นพลังงานและฟื้นฟูเซลล์ ซึ่งเป็นกระบวนการสำคัญต่อสุขภาพของเซลล์ (ที่มา: NobelPrize.org) กระบวนการออโตฟาจีจะถูกกระตุ้นระหว่างการอดอาหาร เนื่องจากการขาดสารอาหาร ทำให้เซลล์ต้องรีไซเคิลองค์ประกอบที่เสียหายเพื่อความอยู่รอด ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่ได้รับการศึกษาอย่างกว้างขวาง ความเชื่อมโยงดังกล่าวระหว่างการอดอาหารและกระบวนการออโตฟาจี้จึงเป็นที่มาของข้อสันนิษฐานเกี่ยวกับประโยชน์ของการอดอาหารต่อสุขภาพ รวมถึงการรักษามะเร็ง อย่างไรก็ตาม รางวัลโนเบลของอาจารย์โอซูมิไม่ได้เกี่ยวข้องกับการอดอาหารโดยตรง แต่เป็นการค้นพบกลไกระดับโมเลกุลของออโตฟาจี แม้ว่าการอดอาหารสามารถกระตุ้นออโตฟาจีได้ แต่การวิจัยของของโอซูมิมุ่งเน้นไปที่การศึกษากระบวนการดังกล่าวมากกว่าการเสนอให้เป็นแนวทางการรักษาโรค (ที่มา: […]

Continue Reading

ส้มสามารถช่วยลดอาการปวดท้องจากประจำเดือนได้จริงหรือไม่?

อาการปวดประจำเดือน (Period Cramps) หรือที่เรียกกันทางการแพทย์ว่า Dysmenorrhea เป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อหลายๆ คน เนื่องจากทำให้เกิดความไม่สบายตัวและรบกวนกิจวัตรประจำวัน ล่าสุดเราพบข้อกล่าวอ้างที่ระบุว่า การรับประทานส้มสามารถช่วยบรรเทาอาการปวดประจำเดือนได้ โพสต์บนโซเชียลมีเดีย มีข้อความที่แชร์บนโซเชียนลมีเดียที่อ้างว่า การรับประทานส้มสามารถช่วยบรรเทาอาการปวดท้องในช่วงมีประจำเดือนได้ โดยเราพบข้อความดังกล่าวแพร่กระจายทั้งบน Facebbok, Instagram และ X  Source | Archive Source | Archive Source | Archive ตรวจสอบข้อเท็จจริง ถึงแม้ส้มเป็นแหล่งของวิตามินซี และสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพโดยรวม แต่ยังไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ชัดเจนว่าส้มสามารถบรรเทาอาการปวดประจำเดือนได้โดยตรง อาการปวดประจำเดือนมีสาเหตุมาจากการหลั่งสารโพรสตาแกลนดิน (Prostaglandins) ซึ่งกระตุ้นให้มดลูกเกิดการหดตัว แม้ว่าการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์จะมีผลต่อสุขภาพของระบบสืบพันธุ์ แต่ยังไม่มีอาหารชนิดใดที่ได้รับการพิสูจน์ว่าสามารถลดอาการปวดได้โดยตรง หลักฐานทางวิทยาศาสตร์ คุณค่าทางโภชนาการของส้ม: ส้มอุดมไปด้วยวิตามินซี สารต้านอนุมูลอิสระ และสารอาหารที่สำคัญต่อสุขภาพโดยรวม วิตามินซีมีคุณสมบัติต้านการอักเสบและช่วยให้ระบบไหลเวียนเลือดดีขึ้น ซึ่งอาจมีส่วนช่วยทางอ้อมต่อสุขภาพในช่วงมีประจำเดือน อย่างไรก็ตาม ประโยชน์เหล่านี้เป็นเพียงผลดีโดยรวมของการรับประทานอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ และไม่ได้มีหลักฐานที่ชี้ชัดว่าส้มสามารถบรรเทาอาการปวดประจำเดือนได้โดยตรง ระดับน้ำในร่างกายที่เพียงพอและสารอาหารที่จำเป็น: การรักษาระดับน้ำในร่างกายให้เหมาะสมในช่วงมีประจำเดือนเป็นสิ่งสำคัญ เพราะช่วยลดอาการท้องอืดและสนับสนุนการทำงานของร่างกายโดยรวม และในส้มมีปริมาณน้ำสูง ซึ่งช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับร่างกาย อย่างไรก็ตาม การดื่มน้ำเพียงพอไม่ได้ส่งผลโดยตรงต่อการลดอาการปวดประจำเดือน เนื่องจากสาเหตุหลักของอาการปวดมาจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนและการหลั่งสารโพรสตาแกลนดิน บทบาทของอาหารต่อสุขภาพประจำเดือน: […]

Continue Reading

กรมควบคุมโรค ยืนยันข้อความ “งดเดินทางเนื่องจากไข้หวัดใหญ่ระบาด” ไม่เป็นความจริง

ในช่วงเดือนที่ผ่านมา มีการแชร์ข้อความเตือนเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของโควิด-19 และไข้หวัดใหญ่ โดยระบุว่า กระทรวงสาธารณสุขแนะนำให้หลีกเลี่ยงการเดินทางและกิจกรรมที่ไม่จำเป็น พร้อมเสนอแนวทางป้องกัน เช่น การรักษาความชุ่มชื้นของเยื่อเมือกลำคอ การงดใช้ขนส่งสาธารณะ หลีกเลี่ยงอาหารทอดและรสจัด และเสริมสร้างภูมิคุ้มกันด้วยวิตามินซี อีกทั้งยังมีการกล่าวถึงมาตรการจำกัดการเดินทางไปยังบางประเทศและการเฝ้าระวังในบางจังหวัดของไทย ข้อกล่าวอ้างบนโซเชียลมีเดีย ผู้ใช้โซเชียลมีเดียหลายราย ได้แชร์ข้อความที่ระบุว่า “กระทรวงสาธารณะสุขแจ้งเตือนว่า โควิด-19 และไข้หวัดใหญ่ครั้งนี้มีความร้ายแรงมาก ขอให้งดการเดินทางและกิจกรรมทุกประเภทที่ไม่จำเป็น” ที่มา | ลิงก์ถาวร ที่มา | ลิงก์ถาวร อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบข้อเท็จจริงพบว่า ข้อมูลดังกล่าวไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด ตรวจสอบข้อเท็จจริง กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ได้ชี้แจงถึงข้อความที่ระบุว่า “สธ.เตือนไข้หวัดใหญ่ครั้งนี้ มีความร้ายแรงมาก ขอให้งดเดินทางและกิจกรรมทุกประเภทที่ไม่จำเป็น” เป็นข้อมูลเท็จ โดยแม้ว่าการแพร่ระบาดของไข้หวัดใหญ่และโควิด-19 ยังคงเกิดขึ้นในบางพื้นที่ แต่มาตรการป้องกันจากหน่วยงานสาธารณสุขไม่ได้รวมถึงข้อกำหนดห้ามเดินทาง หรือคำแนะนำเกี่ยวกับการดื่มน้ำเพื่อป้องกันการติดเชื้อแต่อย่างใด สถานการณ์ไข้หวัดใหญ่ในไทย ข้อมูลจาก กรมควบคุมโรค ณ วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2568 ระบุว่า ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 17 กุมภาพันธ์ […]

Continue Reading