ข้อความไวรัลว่าโควิด-19 เกิดจากแบคทีเรีย “เป็นข้อมูลเท็จ”

เมื่อเร็วๆ มีข้อความที่กำลังแพร่กระจายในโซเชียลมีเดียโดยที่อ้างว่าสิงคโปร์ค้นพบว่าโควิด-19 เกิดจากแบคทีเรียไม่ใช่ไวรัส ซึ่งยังอ้างว่าสาเหตุหลักของการเสียชีวิตจากโควิด-19 นั้นมาจากลิ่มเลือดอุดตัน เมื่อตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิดเพิ่มสูงขึ้นในช่วงเดือนที่ผ่าน ข้อความนี้ก็กลับมาแพร่กระจายอย่างกว้างขวางอีกครั้ง โพสต์บนโซเชียลมีเดีย มีข้อความหนึ่งแพร่กระจายบนโซเชียลมีเดียเกี่ยวกับ COVID-19 ที่อ้างว่า แพทย์ในสิงคโปร์ค้นพบว่าองค์การอนามัยโลก (WHO) ได้วางแผนสมคบคิดเพื่อหลอกลวงผู้คนเกี่ยวกับโรคนี้และแนวทางการรักษา ข้อความยังอ้างเพิ่มเติมว่า กระทรวงสาธารณสุขของสิงคโปร์ได้ค้นพบวิธีรักษาไวรัสแล้ว และยังอ้างอีกว่า ไวรัสโคโรนาไม่ใช่ไวรัส แต่เป็นแบคทีเรีย และสามารถรักษาโควิดได้ด้วยยาปฏิชีวนะ นอกจากนี้ยังกล่าวว่า สาเหตุหลักของการเสียชีวิตจากโควิดคือการเกิดลิ่มเลือด (thrombosis) หรือภาวะเลือดแข็งตัวในหลอดเลือด ข้อความยังระบุอีกว่า ไม่จำเป็นต้องใช้ห้อง ICU หรือเครื่องช่วยหายใจในการรักษาผู้ป่วยโควิด และกล่าวว่ากระทรวงสาธารณสุขของสิงคโปร์ได้เปลี่ยนแนวทางการรักษา โดยให้ผู้ป่วยโควิดรับประทานแอสไพริน ที่มา | ลิงก์ถาวร ตรวจสอบข้อเท็จจริง จากการตรวจสอบพบว่า ข้อความดังกล่าวเป็นข้อความเท็จที่มีการแพร่กระจายมาตั้งแต่ปี 2021 และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงรัฐบาลสิงคโปร์ก็ได้ออกมาชี้แจงในกรณีดังกล่าวแล้ว และ Fact Crescendo ได้ตรวจสอบข้อกล่าวอ้างนี้ในเวอร์ชั้นภาษาอังกฤษที่แพร่กระจายเมื่อปี 2021 ไว้ที่นี่ ข้อกล่าวอ้างที่ 1: สิงคโปร์ทำการชันสูตรศพผู้เสียชีวิตจากโควิด กระทรวงสาธารณสุขสิงคโปร์ได้ชี้แจงผ่านเพจ Facebook อย่างเป็นทางการว่า ประเทศไม่ได้ทำการชันสูตรศพผู้เสียชีวิตจากโควิดเลย และข้อมูลที่อยู่ในข้อความดังกล่าวไม่มีมูลความจริงทางวิทยาศาสตร์ โพสต์บน Facebook […]

Continue Reading

ข้อความว่า “อาจารย์หมอประสิทธิ์ออกประกาศให้ล็อกดาวน์ตัวเอง” เป็นข้อมูลเท็จ

ในช่วงเดือนพฤษภาคม 2568 ที่สถานการณ์โควิด-19 ในประเทศไทยเริ่มกลับมาน่ากังวล มีผู้ติดเชื้อเพิ่มสูงขึ้นอีกครั้งตามรายงานจากกระทรวงสาธารณสุขและสื่อมวลชน (ที่มา) ผู้คนจำนวนมากเริ่มกลับมาระมัดระวังและหาข้อมูลเกี่ยวกับวิธีป้องกันตัวเองจากไวรัส ท่ามกลางความวิตกนี้ ได้มีข้อความ “เตือนภัย” ที่อ้างว่ามีการออกประกาศให้ล็อกดาวน์ กลับมาแพร่กระจายอย่างรวดเร็วอีกครั้งในแอปพลิเคชัน LINE และแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียต่างๆ โพสต์บนโซเชียลมีเดีย เราได้รับเบาะแสผ่านทาง LINE ตรวจสอบข้อเท็จจริงของ Fact Crescendo Thailand เกี่ยวกับข้อความที่มีการส่งต่อกันอย่างกว้างขวางบนแพลตฟอร์ม LINE อ้างว่า “พยาบาลศิริราชส่งไลน์มา” และ “อาจารย์หมอประสิทธิ์ออกประกาศให้ล็อกดาวน์ครอบครัวตัวเอง” พบข้อความน่าสงสัย? ส่งมาให้เราตรวจสอบได้ที่ LINE ตรวจสอบข้อเท็จจริงของเรา โดยเมื่อตรวจสอบเพิ่มเติม เราพบว่าข้อความดังกล่าวมีการแชร์ต่ออย่างกว้างขวางบน Facebook เมื่อเร็วๆ นี้ด้วยเช่นกัน ที่มา | ลิงก์ถาวร ตรวจสอบข้อเท็จจริง ข้อความที่อ้างว่า “หมอประสิทธิ์ ศิริราช” เตือนให้ “ล็อกดาวน์ครอบครัวตัวเอง” จากการตรวจสอบ เราพบว่า ข้อความดังกล่าวเป็นข้อมูลเท็จที่มีการแพร่กระจายมาตั้งแต่ปี 2564 โดยโรงพยาบาลศิริราชได้ออกแถลงการณ์ชี้แจงไว้ ระบุว่า: “ตามที่มีการแชร์ข้อความผ่านโซเชียลมีเดีย เกี่ยวกับประเด็นเรื่อง หมอประสิทธิ์ คณบดีศิริราช […]

Continue Reading

ข้อกล่าวอ้างว่าวัคซีน mRNA ทำให้เกิดแท่งสีขาวในร่างกาย “เป็นข้อมูลผิด”

ในปัจจุบัน ข้อมูลที่ไม่ถูกต้องเกี่ยวกับสุขภาพสามารถแพร่กระจายได้อย่างรวดเร็วบนโซเชียลมีเดียและสร้างความกังวลและความสับสนให้ผู้คนได้ โดยล่าสุด เราพบข้อกล่าวอ้างที่ระบุว่าพบแท่งย้วยสีขาวในผู้รับวัคซีนโควิดชนิด mRNA โดยประเด็นดังกล่าวได้รับความสนใจเป็นอย่างมากในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ ข้อกล่าวอ้างบนโซเชียลมีเดีย เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ ศาสตราจารย์ นายแพทย์ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา หัวหน้าศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ระบุว่า มีงานวิจัยค้นพบแท่งย้วยสีขาว (White clot) คล้ายหนวดปลาหมึก ทั้งจากคนที่ยังมีชีวิตอยู่และเสียชีวิตจากวัคซีนโควิด ที่มา | ลิงก์ถาวร โดยข้อมูลดังกล่าวได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก โดยมีการเผยแพร่จากสำนักข่าวต่างๆ (เช่น ที่นี่ และที่นี่) รวมถึงมีการแชร์ต่อบนแพลตฟอร์มอื่นๆ อีกด้วย ที่มา | ลิงก์ถาวร ที่มา | ลิงก์ถาวร แถลงการณ์จากสถาบันวัคซีนแห่งชาติ ในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ สถาบันวัคซีนแห่งชาติ ได้ออกแถลงการณ์ชี้แจงในกรณีลิ่มเลือดสีขาวและวัคซีนโควิดชนิด mRNA ระบุว่า จากกรณีที่มีการเผยแพร่และส่งต่อข้อมูลเกี่ยวกับการพบสิ่งแปลกปลอมซึ่งมีลักษณะเป็นลิ่มเลือดสีขาว (White clot) ในหลอดเลือดผู้เสียชีวิตที่ได้รับการฉีดวัคซีนโควิด-19 และระบุว่าสามารถพบสิ่งแปลกปลอมนี้ได้ในผู้ที่ยังมีชีวิตที่ได้รับการฉีดวัคซีนโควิด-19 ซึ่งสร้างความตื่นตระหนกให้กับประชาชนในวงกว้าง สถาบันวัคซีนแห่งชาติและภาคีเครือข่ายผู้เชี่ยวชาญไม่ได้นิ่งนอนใจกับประเด็นกังวลดังกล่าว จึงได้ประสานไปยังแพทย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านนิติเวชศาสตร์ […]

Continue Reading

รู้จักโควิดสายพันธุ์ใหม่ล่าสุด JN.1: ความรุนแรง อาการ และวิธีป้องกันตนเอง

ในช่วงปีใหม่ที่ผ่านมา อัตราผู้ป่วยจากโควิด-19 กลับมาเพิ่มสูงขึ้นอีกครั้ง โดยศูนย์ควบคุมโรคติดต่อสหรัฐฯ (CDC) ได้ออกมาแถลงถึงการค้นพบเชื้อโควิดสายพันธุ์ใหม่ ซึ่งก็คือสายพันธุ์ JN.1 ข้อควรรู้เกี่ยวกับสายพันธุ์ใหม่จาก CDC โควิด-19 สายพันธุ์ JN.1 พัฒนามาจาก BA.2.86 โดยปัจจุบันสายพันธุ์ใหม่นี้dลายเป็นสายพันธุ์ที่แพร่เชื้อเร็วที่สุดในสหรัฐอเมริกา โดย ณ วันที่ 8 ธันวาคม 2023 พบผู้ป่วยจากสายพันธุ์ดังกล่าวประมาณ 15–29% แต่แม้ว่าจะมีจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่ก็ยังไม่พบข้อมูลที่สนับสนุนว่าสายพันธุ์ JN.1 เพิ่มความเสี่ยงของประชาชนมากยิ่งขึ้น เมื่อเทียบกับสายพันธุ์อื่นๆ ที่มีการระบาดอยู่ มีการคาดการณ์ว่า วัคซีนป้องกันโควิด-19 ในปัจจุบันจะสามารถป้องกัน JN.1 ได้ สายพันธุ์ JN.1 มีแนวโน้มจะไม่ก่อให้เกิดการป่วยที่รุนแรงกว่าสายพันธุ์อื่นๆ ก่อนหน้านี้ โดยอาการจากสายพันธุ์ JN.1 คล้ายคลึงกับอาการที่เกิดจากสายพันธุ์อื่นๆ ทั้งนี้อาจขึ้นอยู่กับสุขภาพและระดับภูมิคุ้มกันของแต่ละบุคคลด้วย โดยอาการทั่วไป ได้แก่ เจ็บคอ คัดจมูก น้ำมูกไหล ไอ เหนื่อยล้า และปวดศีรษะ แม้ว่าอาการป่วยจากโรคติดเชื้อโควิด-19 โดยรวมในปัจจุบันจะดูรุนแรงน้อยกว่าในปีที่ผ่านมา แต่ข้อมูลของ CDC […]

Continue Reading

ข้อเท็จจริงของข้อความ “โควิดสายพันธุ์ใหม่ BA 4.5” ที่กำลังระบาดบนโซเชียล

แม้กระแสข่าวเรื่องโควิด-19 จะเริ่มซาลงแล้วในช่วงนี้ แต่หลายฝ่ายก็ยังเตือนว่าอย่าเพิ่งไว้วางใจ เพราะถึงแม้ยอดผู้ติดเชื้อจะลดลง แต่ยอดผู้ป่วยหนักและผู้เสียชีวิตยังคงสูงอยู่อย่างต่อเนื่อง (อ่านเพิ่มเติมที่นี่) ข้อมูลวันที่ 11 มิถุนายน จากกรมควบคุมโรค และล่าสุด เราได้รับเบาะแสผ่านทางไลน์ตรวจสอบข้อเท็จจริงของเรา โดยพบว่ามีข้อกล่าวอ้างเกี่ยวกับโควิดสายพันธุ์ใหม่ “BA 4.5” ที่ตรวจไม่พบ และมีความรุนแรงกว่าสายพันธุ์เดลต้าถึง 5 เท่า และเราพบว่าข้อความดังกล่าวมีการแพร่กระจายบนเฟซบุ๊กด้วยเช่นเดียวกัน Source | Archive จากการตรวจสอบ เราพบว่าข้อกล่าวอ้างดังกล่าวนั้นแปลมาจากข้อความภาษาอังกฤษที่มีการแชร์ตั้งแต่เมื่อปี 2022 Source | Archive อย่างไรก็ตาม ข้อมูลดังกล่าวนั้นเป็นข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง และอาจสร้างความเข้าใจผิดได้ คล้ายกับข้อความที่มีการแชร์ก่อนหน้านี้ เราพบว่าข้อความข้างต้นมีลักษณะคล้ายกับข้อความที่มีการแชร์ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา แต่มีข้อแตกต่างกันที่ชนิดของสายพันธุ์ โดยข้อความที่แพร่กระจายในช่วงต้นปีระบุว่าเป็นไวรัสสายพันธุ์ Omicron XBB แต่ข้อมูลอื่นๆ เช่น ไม่มีอาการไข้หรืออาการไอ รวมถึงมีข้อกล่าวอ้างที่บอกว่ารุนแรงกว่าสายพันธุ์เดลต้า 5 เท่าเหมือนกัน โดยคาดว่าแปลมาจากข้อความภาษาอังกฤษข้อความเดียวกัน แต่เปลี่ยนชื่อสายพันธุ์ Source | Archive สามารถอ่านบทความเกี่ยวกับข้อกล่าวอ้างเดิมได้ที่นี่: อย่าแชร์ต่อ! ข้อความ Omicron XBB รุนแรงกว่าเดลต้า 5 เท่า […]

Continue Reading

อย่าแชร์ต่อ! ข้อความ Omicron XBB รุนแรงกว่าเดลต้า 5 เท่า เป็นข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง

ในช่วงวันหยุดยาวที่ผ่านมา จำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ได้กลับมาพุ่งสูงขึ้นอีกครั้ง โดยทางกระทรวงสาธารณสุขก็ได้ออกมาเตือนให้ประชาชนเฝ้าระวัง และเข้ารับวัคซีนประจำปีเพื่อป้องกันโควิดก่อนเข้าสู่ฤดูฝน (อ่านข่าวที่นี่) ท่ามกลางสถานการณ์โควิดที่กำลังกลับมาระบาดอีกครั้ง เราพบว่ามีข้อมูลที่อาจสร้างความเข้าใจผิดแก่ประชาชนแพร่กระจายตามแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียต่างๆ ข้อกล่าวอ้างบนโซเชียลมีเดีย ผู้ใช้โซเชียลมีเดียหลายรายได้แชร์ข้อความเกี่ยวกับโควิดสายพันธุ์ใหม่ โดยมีเนื้อหาดังนี้: Source | Archive ข้อความดังกล่าวได้มีการแชร์อย่างแพร่หลายบนเฟซบุ๊ก อย่างไรก็ตาม หลังจากทำการตรวจสอบ เราพบว่าบางส่วนในข้อความดังกล่าวนั้นเป็นเท็จ ตรวจสอบข้อเท็จจริง ทีมงาน Fact Crescendo พบว่าข้อความดังกล่าวเป็นข้อความที่มีการแปลมาจาก Forwarding Message ในภาษาอังกฤษที่มีการแพร่กระจายในประเทศต่างๆ ตั้งแต่ช่วงปลายปี 2565 ที่ผ่านมา ข้อความในเวอร์ชันภาษาอังกฤษได้แพร่กระจายทั้งบน Facebook และ Whatsapp เราได้ดำเนินการตรวจสอบข้อมูลดังกล่าวในเวอร์ชันภาษาอังกฤษตั้งแต่เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2565 โดยสามารถอ่านบทความของเราได้ที่นี่ โดยกระทรวงสาธารณสุขของสิงคโปร์ได้ออกมาปฏิเสธว่าข้อความดังกล่าวไม่เป็นความจริงตั้งแต่เมื่อเดือนตุลาคม 2565 ที่ผ่านมา โดยระบุว่า “ไม่มีหลักฐานสนับสนุนคำกล่าวอ้างดังกล่าว” ในส่วนของผู้เชี่ยวชาญในไทยอย่าง รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ อาจารย์คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ก็ได้ให้สัมภาษณ์กับทาง AFP Thailand ว่าข้อมูลในข้อความดังกล่าวที่อ้างว่า “ไม่พบไวรัสสายพันธุ์นี้ในบริเวณโพรงหลังจมูก“ ว่าไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด นอกจากนี้ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุขก็ได้ออกประกาศว่าข้อความดังกล่าวนั้นเป็นเท็จบางส่วน และขอความร่วมมือไม่แชร์ต่อ […]

Continue Reading

อย่าแชร์! ทวีตไฟเซอร์เอกสารหลุด ชวนให้เข้าใจผิด

วัคซีน Pfizer-BioNTech COVID-19 เป็นหนึ่งในวัคซีนหลักของโลกในการต่อสู้กับการระบาดของโควิด-19 แต่นอกจากจะเป็นที่พูดถึงและยอมรับอย่างกว้างขวางแล้ว วัคซีนชนิดนี้ก็มักกลายเป็นประเด็นในข่าวเท็จและข้อมูลที่ผิดต่างๆ เช่นกัน ข้อกล่าวอ้างที่เป็นเท็จมีตั้งแต่ข้อสงสัยเกี่ยวกับความปลอดภัยและประสิทธิภาพของวัคซีน ไปจนถึงทฤษฎีสมคบคิดเกี่ยวกับจุดประสงค์ของวัคซีนและผู้ผลิต และล่าสุด เราพบข้อกล่าวอ้างเกี่ยวกับวัคซีนชนิดนี้ที่อาจสร้างความเข้าใจผิดให้แก่ผู้คนได้ อ่านข่าวโควิด-19 ที่เราตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้ว ที่นี่ ข้อกล่าวอ้างบนโซเชียล เมื่อวันที่ 30 มกราคมที่ผ่านมา มีผู้ใช้ทวิตเตอร์รายหนึ่งได้ทวีตถึงผลเสียของวัคซีนไฟเซอร์ พร้อมกล่าวว่าวัคซีนไฟเซอร์นั้น “ไม่เคยผ่านการทดสอบป้องกันการติดไวรัสโควิด-19” Source Post | Archive โดยผู้ใช้ทวิตเตอร์รายดังกล่าวได้ทวีตข้อความว่า “เอกสารหลุดและถูกแฉถึงการปกปิดข้อความจริงของวัคซีน Pfizer ล่าสุดบริษัทฯแถลงยอมรับแล้วว่า วัคซีน Pfizer ส่งผลก่อให้เกิดโรคแทรกซ้อนเช่น กล้ามเนื้ออักเสบ เยื่อบุกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ โรคหลอดเลือด ที่สำคัญไม่เคยผ่านการทดสอบป้องกันการติดไวรัสโควิด 19 #วัคซีนเทพ” พร้อมแนบลิงก์เอกสารที่อ้างว่าเป็นเอกสารหลุด โดยทวีตดังกล่าวมีการดูไปแล้วกว่าเจ็ดแสนครั้ง Fact Crescendo ได้ทำการตรวจสอบข้อเท็จจริงในประเด็นดังกล่าวและพบว่าเป็นข้อมูลที่ชวนให้เข้าใจผิด ตรวจสอบข้อเท็จจริง จากทวีตข้างต้นที่แนบลิงก์และอ้างว่าเป็นเอกสารหลุดของบริษัทไฟเซอร์ อันที่จริงแล้วลิงก์ดังกล่าวเป็นแถลงการณ์จากบริษัทไฟเซอร์เกี่ยวกับคำกล่าวอ้างเกี่ยวกับวัคซีนในงานวิจัย โดยทางไฟเซอร์กำลังตรวจสอบกรณีดังกล่าวอย่างจริงจัง และจะอัปเดตเมื่อมีข้อมูลเพิ่มเติม โรคแทรกซ้อนที่เกิดจากวัคซีน อาการที่กล่าวอ้างว่าเป็นโรคแทรกซ้อนที่เกิดจากการฉีดวัคซีนไฟเซอร์นั้น เป็นอาการที่พึงระวังและควรเฝ้าสังเกตหลังจากฉีดวัคซีน ไม่ใช่ข้อมูลลับแต่อย่างใด โดยกองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข […]

Continue Reading

กระทรวงสาธารณสุขชี้แจง งานวิจัยว่าเข็มกระตุ้นเพิ่มความเสี่ยงติดโควิด ยังขาดความน่าเชื่อถือและใช้ในไทยไม่ได้

จากที่เพจ Center for Medical Genomics ได้แชร์งานวิจัยของ Dr. Nabin K Shrestha และทีมวิจัยแผนกโรคติดเชื้อจากคลีฟแลนด์คลินิก ที่แสดงผลวิจัยว่า ความเสี่ยงของการติดเชื้อโควิด-19 กลับมีการแปรผันตรงตามจำนวนครั้งหรือโดสของการฉีดวัคซีน (mRNA) กล่าวคือ หากได้รับวัคซีนเอ็มอาร์เอ็นเอจำนวนมากก่อนหน้านี้ ความเสี่ยงในการติดเชื้อโควิด-19 ก็จะยิ่งสูงขึ้น ผู้ที่ได้รับวัคซีนตั้งแต่ 3 โดสขึ้นไปจะมี “ความเสี่ยง” ในการติดเชื้อโควิด-19 เพิ่มขึ้น 6 เท่าเทียบกับผู้ที่ไม่ได้รับวัคซีน โดยโพสต์ดังกล่าวก็ได้รับการแชร์ต่ออย่างกว้างขวาง รวมถึงมีการเผยแพร่ในเว็บไซต์ต่างๆ อีกด้วย Source | Archive Fact Crescendo ได้ตรวจสอบบทความดังกล่าวและพบว่างานวิจัยที่มีการอ้างอิงในบทความนั้นเป็นงานวิจัยที่ยังไม่ได้รับตีพิมพ์และยังไม่ผ่านการตรวจสอบ และในงานวิจัยดังกล่าวยังระบุไว้ว่างานวิจัยชิ้นดังกล่าวเป็นผลการวิจัยที่ทำขึ้นใหม่ และยังไม่ได้มีการประเมินอย่างเป็นทางการ จึงไม่ควรนำมาใช้เป็นแนวทางในการรักษา แถลงการณ์จากกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงสาธารณสุข ได้ออกมาชี้แจงเกี่ยวกับบทความข้างต้นว่า ข้อมูลวิจัยจากสหรัฐฯ เรื่องรับวัคซีน mRNA หลายครั้ง เพิ่มความเสี่ยงติดโควิด-19 ยังขาดความน่าเชื่อถือ ยังไม่ถูกยอมรับให้เผยแพร่ ขาดการวิเคราะห์และสรุปข้อมูลที่เกี่ยวข้องด้านระบาดวิทยา พฤติกรรมเสี่ยงและการป้องกันโรคที่มีผลต่อการติดเชื้อ ที่สำคัญไม่สามารถนำมาใช้กับประเทศไทยได้ เนื่องจากสถานการณ์และมาตรการต่างกัน ย้ำฉีดวัคซีนอย่างน้อย 4 […]

Continue Reading

เฝ้าระวังโควิดสายพันธุ์ย่อยใหม่ แพทย์ชี้มีแนวโน้มเข้าไทยเร็วๆ นี้

แม้จะดูเหมือนว่าทั่วโลกต่างเริ่มคลายความกังวลเกี่ยวกับการระบาดของโควิด-19 แล้ว แต่ก็มีรายงานถึงการระบาดที่เพิ่มสูงขึ้นในประเทศจีนและประเทศอื่นๆ ทั่วโลก จำนวนตัวเลขผู้ติดเชื้อที่สูงขึ้นเป็นอย่างมากถือเป็นภัยครั้งใหญ่ในช่วงคริสต์มาสที่ผ่านมาและในช่วงเทศกาลปีใหม่ที่กำลังจะมาถึง องค์การอนามัยโลก (WHO) แสดงความกังวลเนื่องมาจากโรงพยาบาลในกรุงปักกิ่งและเมืองอื่นๆ เต็ม จากการระบาดของโควิด-19 ระลอกล่าสุดในจีน วิดีโอที่น่าสลดใจของสถานการณ์ที่เลวร้ายในประเทศจีนกำลังเผยแพร่บนโซเชียลมีเดีย เมื่อไวรัสมีวิวัฒนาการไปตามเวลาและมีความแตกต่างจากไวรัสตัวดั้งเดิมอย่างมาก จะเรียกไวรัสที่วิวัฒนาการใหม่ว่าเป็น ‘สายพันธุ์’ ใหม่ สำหรับไวรัส SARS-CoV-2 ซึ่งเป็นไวรัสตัวดั้งเดิมของ COVID-19 ก็มีการเปลี่ยนแปลงและได้มีการสันนิษฐานว่าเป็นรูปแบบของสายพันธุ์ใหม่และสายพันธุ์ย่อย ปัจจุบัน สายพันธุ์ย่อยของ Omicron มากกว่า 300 สายพันธุ์กระจายอยู่ทั่วโลก และเกือบ 75% เป็นสายพันธุ์ย่อย BA.5 ของโควิดสายพันธุ์โอมิครอน มาทำความเข้าใจและดูข้อควรรู้เกี่ยวกับสายพันธุ์ย่อยใหม่ที่กระตุ้นให้เกิดการติดเชื้อโควิด-19 เพิ่มขึ้น สายพันธุ์ย่อย BF.7 สายพันธุ์ล่าสุดที่ทำให้จำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในประเทศจีนและประเทศอื่นๆ เพิ่มขึ้นนั้นเรียกว่า BF.7 เป็นสายพันธุ์ย่อยของโอมิครอนสายพันธุ์ BA.5 ซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่สามารถแพร่เชื้อได้สูง โดยมีความสามารถในการเลี่ยงภูมิคุ้มกันของร่างกายได้สูงกว่า แม้จะได้รับการฉีดวัคซีนแล้วก็ตาม อาการของตัวแปรย่อย BF.7 ใหม่นั้นคล้ายกับไข้หวัดทั่วไปและรวมถึงไข้ ไอ เจ็บคอ น้ำมูกไหล ปวดตามตัว ปวดท้อง เป็นต้น โดยผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้รักษาสุขอนามัยที่เหมาะสม […]

Continue Reading

ข่าวอย. สหรัฐฯ และไฟเซอร์แพ้คดีไม่เป็นความจริง

จากที่มีการแชร์ข้อความเกี่ยวกับผลข้างเคียงของวัคซีนไฟเซอร์ โดยข้อความดังกล่าวอ้างว่า อย. สหรัฐฯ และบริษัทไฟเซอร์แพ้คดี และไฟเซอร์ถูกบังคับให้เปิดเผยผลข้างเคียงของวัคซีน โดยข้อความดังกล่าวถูกแชร์ออกไปอย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเฟซบุ๊กและไลน์  Facebook Post | Archive  มีการแชร์ต่อข้อความดังกล่าวออกไปอย่างแพร่หลายบนเฟซบุ๊ก ทาง Fact Crescendo ได้ทำการตรวจสอบข้อมูลดังกล่าว และพบว่าข้อมูลดังกล่าวชวนให้เข้าใจผิด โดยทางกรมควบคุมโรค กรมสาธารณสุขก็ได้ออกประกาศเตือนไม่ให้หลงเชื่อข้อมูลดังกล่าวบนเว็บไซต์ของทางองค์กรด้วยเช่นกัน (ที่มา: กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข) คำกล่าวอ้าง ข้อความดังกล่าวได้ระบุว่าคณะกรรมการอาหารและยาสหรัฐฯ รวมถึงบริษัทไฟเซอร์แพ้คดี ศาลจึงสั่งให้ออกมาเปิดเผยเอกสารที่แสดงข้อมูลผลข้างเคียงจากวัคซีน ตรวจสอบข้อเท็จจริง เมื่อทาง Fact Crescendo พบเห็นข้อความดังกล่าวที่มีการแชร์อย่างแพร่หลายในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ จึงทำการตรวจสอบข้อมูลโดยการค้นหาข้อมูลยืนยันจากคีย์เวิร์ดภายในข้อความ และได้พบว่าข้อความดังกล่าวมีการแชร์อย่างแพร่หลายมาตั้งแต่เดือนเมษายน 2565 และได้รับการยืนยันแล้วว่าไม่เป็นความจริงโดยกรมควบคุมโรคตั้งแต่วันที่ 25 เมษายน ที่ผ่านมา แต่เนื่องจากข้อมูลดังกล่าวยังมีการแชร์อยู่บ่อยครั้งในช่วงที่ผ่านมา ทาง Fact Crescendo จึงต้องดำเนินการตรวจสอบอีกครั้ง เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนที่อาจพบเห็นและกังวลเกี่ยวกับข้อเท็จจริงดังกล่าว โดยกรมควบคุมโรคได้ระบุว่า “รายงานเฝ้าระวังดังกล่าวนั้นไม่ได้มีการปิดบังหรือถูกศาลสั่งให้เปิดเผยแต่อย่างใด เพราะมีการเผยแพร่ให้สาธารณะทราบเป็นระยะอยู่แล้ว โดยทาง US FDA จะมีการตรวจสอบว่าอาการต่างๆ ซึ่งส่วนใหญ่จะไม่เกี่ยวข้องกับวัคซีน” นอกจากนี้ ยังมีการยืนยันจาก […]

Continue Reading